ระยะของมะเร็งลำไส้ใหญ่ ส่งผลต่อการรักษาอย่างไร
มะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นหนึ่งในมะเร็งที่พบได้บ่อยในประเทศไทย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี มะเร็งชนิดนี้เกิดขึ้นในลำไส้ใหญ่หรือไส้ตรง อาจเริ่มจากติ่งเนื้อเล็ก ๆ ที่พัฒนากลายเป็นมะเร็งในระยะต่อไป การตรวจคัดกรองและการสังเกตอาการแรกเริ่มมะเร็งลำไส้อย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยงจากโรคร้ายนี้ได้
ระยะของมะเร็งลำไส้ใหญ่มีกี่ระยะ
การแบ่งระยะของมะเร็งลำไส้ใหญ่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการวางแผนการรักษา โดยแบ่งออกเป็น 4 ระยะหลัก ดังนี้
– ระยะที่ 1
มะเร็งอยู่เฉพาะในชั้นเยื่อบุผนังลำไส้ใหญ่หรือไส้ตรง ยังไม่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองหรืออวัยวะอื่น ๆ อาการมะเร็งลําไส้ ระยะที่ 1 ผู้ป่วยมักไม่มีอาการเด่นชัด แต่อาจพบอาการผิดปกติเล็กน้อย เช่น ท้องอืด หรือถ่ายอุจจาระมีเลือดปน
– ระยะที่ 2
มะเร็งลุกลามลึกขึ้นในผนังลำไส้ใหญ่ แต่ยังไม่กระจายไปต่อมน้ำเหลืองอาการมะเร็งลำไส้ใหญ่ ระยะที่ 2 ผู้ป่วยอาการเริ่มชัดเจนขึ้น เช่น ปวดท้องเรื้อรัง น้ำหนักลดโดยไม่มีสาเหตุ หรือความเปลี่ยนแปลงในการขับถ่าย
– ระยะที่ 3
มะเร็งลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลืองใกล้ลำไส้ใหญ่ แต่ยังไม่กระจายไปยังอวัยวะอื่น อาการมะเร็งลำไส้ใหญ่ ระยะที่ 3 มักรุนแรงขึ้น เช่น อ่อนเพลีย มีเลือดในอุจจาระ และท้องผูกหรือท้องเสียสลับกัน
– ระยะที่ 4
มะเร็งได้กระจายไปยังอวัยวะอื่น เช่น ตับ ปอด หรือกระดูก อาการมะเร็งลำไส้ใหญ่ ระยะที่ 4 อาจรวมถึงปวดรุนแรง น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว และอ่อนเพลียอย่างมาก
การรักษาในแต่ละระยะ
– ระยะที่ 1: การรักษาหลักในระยะแรกคือการผ่าตัดเพื่อนำก้อนเนื้อออก ในกรณีนี้ไม่จำเป็นต้องใช้เคมีบำบัด
– ระยะที่ 2: มะเร็งลำไส้ใหญ่ ระยะ 2 การรักษาหลักคือการผ่าตัด และอาจพิจารณาให้เคมีบำบัดเสริมภายใน 4-6 สัปดาห์หลังผ่าตัดเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง
– ระยะที่ 3: การรักษาเป็นแบบผสมผสาน อาจมีการผ่าตัด เคมีบำบัด การฉายรังสีเพิ่มเติมเพื่อทำลายเซลล์มะเร็งที่หลงเหลือ และอาจพิจารณาการรักษามะเร็งด้วยความร้อนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรักษา
– ระยะที่ 4: มะเร็งลำไส้ใหญ่ ระยะสุดท้าย การรักษามุ่งเน้นไปที่การรักษาแบบประคับประคอง และบรรเทาอาการให้ผู้ป่วย โดยใช้เคมีบำบัด การรักษาแบบมุ่งเป้า (Targeted therapy) หรือการฉายรังสี
ในทุกระยะ การเริ่มรักษาทันทีหลังการวินิจฉัยจะช่วยเพิ่มโอกาสในการควบคุมโรค และยืดอายุการอยู่รอด
การตระหนักถึงอาการแรกเริ่มมะเร็งลำไส้
อาการแรกเริ่มมะเร็งลำไส้ที่ควรระวัง ได้แก่
– การถ่ายอุจจาระที่เปลี่ยนไป เช่น ท้องเสียหรือท้องผูกเรื้อรัง
– อุจจาระมีเลือดปน
– ปวดท้องเรื้อรัง
– น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
หากพบอาการเหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์ทันทีเพื่อรับการตรวจวินิจฉัย
สรุป
การรู้และเข้าใจเกี่ยวกับระยะของมะเร็งลำไส้ใหญ่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการวางแผนการรักษา การสังเกตอาการแรกเริ่มมะเร็งลำไส้ และการตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้สามารถตรวจพบโรคได้ในระยะเริ่มต้น ซึ่งมีโอกาสรักษาให้หายขาดได้สูง หากพบความผิดปกติใด ๆ ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็วที่สุด เพื่อการวินิจฉัยและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมต่อไป